สรุปสาระสำคัญ
บทสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาการฉ้อโกงเฉพาะกรณีการซื้อขายออนไลน์
สภาวะเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้การซื้อขายสินค้าออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การซื้อขายออนไลน์นำมาซึ่งความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นช่องทางให้มิจฉาชีพเข้ามาหลอกลวงประชาชนด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น แอบอ้างเป็นผู้ขายแต่ไม่ส่งสินค้า หรือส่งสินค้าชำรุดไม่ได้มาตรฐาน หรือใช้บัญชีม้าเพื่อหลอกลวงผู้ซื้อ
การซื้อขายออนไลน์สร้างความสะดวกให้กับผู้บริโภค แต่ก็เปิดช่องทางให้เกิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ง่าย ตัวอย่างพฤติกรรมที่พบได้แก่ การแอบอ้างเป็นร้านค้าออนไลน์แล้วปิดบัญชีหลังได้รับเงิน การใช้บัญชีบุคคลที่สามเพื่อรับโอนเงิน หรือการโฆษณาเกินจริงที่สร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้บริโภค ปัญหาเหล่านี้ทำให้เกิดความเสียหายทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง
จากการสอบสวนในช่วงระยะเวลา 42 วัน พบว่ามีคดีฉ้อโกงออนไลน์ถึง 30 คดีจาก 50 คดี โดยลักษณะการหลอกลวงมักเป็นการสร้างร้านค้าออนไลน์ปลอม โพสต์ขายสินค้า แล้วหลอกให้ผู้ซื้อโอนเงิน ก่อนจะปิดบัญชีหนีไป การกระทำเช่นนี้ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 และ 343
ศาลฎีกาได้เคยพิพากษาว่า การหลอกลวงขายสินค้าออนไลน์ในวงกว้างถือเป็นภัยต่อสุจริตชนทั่วไป และถือเป็นความผิดร้ายแรง แม้ผู้กระทำผิดจะชดใช้ค่าเสียหาย แต่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงโทษทางอาญาได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงออนไลน์อย่างจริงจัง
แนวคิดที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาคือ ทฤษฎีสามเหลี่ยมอาชญากรรม (Crime Triangle Theory) และทฤษฎีหน้าต่างแตก (Broken Windows Theory) ทฤษฎีแรกชี้ให้เห็นว่าอาชญากรรมเกิดจากสามองค์ประกอบ ได้แก่ ผู้กระทำผิด เหยื่อ และโอกาส เมื่อองค์ประกอบทั้งสามครบจึงเกิดอาชญากรรม ส่วนทฤษฎีหน้าต่างแตกอธิบายว่าการละเลยความผิดเล็กน้อยจะนำไปสู่ปัญหาใหญ่หากไม่มีการแก้ไขทันที
จากการวิเคราะห์พบว่า การซื้อขายออนไลน์ทำให้ผู้กระทำผิดสามารถเข้าถึงเหยื่อได้ง่าย มีต้นทุนต่ำ และสามารถปิดบังตัวตนได้อย่างรวดเร็ว การตรวจสอบตัวตนผู้ขายทำได้ยาก ผู้เสียหายจำนวนมากไม่ร้องทุกข์เพราะค่าเสียหายเล็กน้อยและไม่คุ้มค่ากับเวลาที่ต้องใช้ในการดำเนินคดี
ปัญหานี้ส่งผลให้เกิดการฉ้อโกงซ้ำซากและขยายตัวในวงกว้างมากขึ้น หากปล่อยไว้โดยไม่แก้ไข จะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการทำธุรกรรมออนไลน์ และระบบเศรษฐกิจโดยรวม
แนวทางการแก้ไขที่เสนอมาประกอบด้วย:
1. การสร้างระบบแจ้งเตือนบนแอพพลิเคชั่นธนาคาร เมื่อลูกค้ากรอกหมายเลขบัญชีปลายทาง ระบบจะเตือนหากบัญชีดังกล่าวอยู่ในข่ายบัญชีเสี่ยง ซึ่งจะช่วยให้ผู้โอนเงินยับยั้งชั่งใจก่อนตัดสินใจโอน
2. การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานปปง. ผ่านการทำ MOU เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีที่มีความเสี่ยง
3. การกำหนดประเภทบัญชีเพื่อการค้าออนไลน์ แยกบัญชีร้านค้าออกจากบัญชีส่วนตัว และให้ธนาคารใช้ระบบ AI ตรวจสอบความเคลื่อนไหวผิดปกติของบัญชีเพื่อป้องกันการใช้บัญชีในทางมิชอบ
4. การจูงใจให้ร้านค้าออนไลน์จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เช่น การลดหย่อนภาษี หรือสิทธิประโยชน์อื่น เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าและผู้บริโภค
5. การออกกฎหมายให้ธนาคารสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีเสี่ยงได้อย่างเสรี เช่นเดียวกับระบบ ATM POOL โดยไม่ละเมิดกฎหมายความลับทางธนาคาร
การดำเนินการดังกล่าวคาดว่าจะสามารถลดการเกิดอาชญากรรมทางออนไลน์ได้อย่างมีนัยสำคัญ ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ
นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ผ่านสื่อทุกประเภท ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต และสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวต้องดำเนินไปอย่างรัดกุมและคำนึงถึงสิทธิของเจ้าของบัญชี โดยควรมีคณะกรรมการกลางทำหน้าที่พิจารณาและให้สิทธิ์เจ้าของบัญชีในการโต้แย้งหากถูกขึ้นบัญชีเสี่ยงโดยไม่เป็นธรรม
หากสามารถดำเนินการตามแนวทางที่เสนอได้อย่างครบถ้วน จะช่วยลดปริมาณการฉ้อโกงออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความมั่นใจในการทำธุรกรรมออนไลน์ของประชาชน และส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน
ด้วยการพัฒนาระบบตรวจสอบและป้องกันควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัย และเอื้อต่อการทำธุรกิจและการบริโภคในยุคดิจิทัลได้อย่างแท้จริง
สรุปแล้ว โครงการนี้เป็นการผสมผสานระหว่างมาตรการเชิงป้องกันและมาตรการเชิงบังคับใช้กฎหมาย โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีมาช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ และการสร้างระบบข้อมูลกลางที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลุ่มเป้าหมายของโครงการ
ประชาชนทั่วไปที่ซื้อสินค้าออนไลน์, หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมและการป้องกันอาชญากรรม, ธนาคารและสถาบันการเงิน, ผู้ประกอบการร้านค้าออนไลน์
ความเกี่ยวโยงกับกระบวนการยุติธรรม
เชื่อมโยงกับกระบวนการยุติธรรมในเรื่องการแจ้งความดำเนินคดี การอายัดบัญชี การสืบสวนสอบสวน และการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย รวมถึงการป้องกันการกระทำผิดซ้ำผ่านการบริหารข้อมูลและการขึ้นบัญชีเสี่ยง
ผลลัพธ์ของโครงการ
มีระบบแจ้งเตือนความเสี่ยงบนแอพธนาคาร, มีฐานข้อมูลกลางแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยงานรัฐ, มีกระบวนการควบคุมและตรวจสอบบัญชีออนไลน์, ประชาชนมีความตระหนักรู้และหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อมากขึ้น, ลดการก่ออาชญากรรมในภาคเศรษฐกิจดิจิทัล
การตอบเป้าหมายตามแผนพัฒนา
- การเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเทคโนโลยี - โครงการเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และการใช้เทคโนโลยีตรวจสอบบัญชีเสี่ยง เพื่อป้องกันการฉ้อโกงออนไลน์
- การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียม - โครงการมีการเสนอแนวทางให้สามารถแจ้งความออนไลน์ ตรวจสอบข้อมูลบัญชีผู้กระทำผิดได้สะดวกและรวดเร็ว ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่ายขึ้น
- การมีกฎหมายดี ที่จําเป็น ทันสมัย สอดคล้องกับบริบทของสังคม - มีการเสนอให้แก้ไขกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน เพื่ออำนวยให้ธนาคารสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้มีความเสี่ยงได้ สอดคล้องกับสังคมยุคดิจิทัล
- การบังคับใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ - โครงการเน้นการใช้กฎหมายอาญาดำเนินคดีฉ้อโกงออนไลน์ และเสนอให้มีระบบติดตามตัวผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย